วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อาวุธปืน

ในยุคกลางคำว่า"อาวุธปืน"หรือ"ไฟร์อาร์ม" (อังกฤษ: firearm) ถูกใช้โดยอังกฤษเพื่อระบุอาวุธที่จะต้องใช้ไม้ขีดไฟเพื่อจุดระเบิดของปืนใหญ่ คำดังกล่าวยังเป็นแบบหนึ่งที่ใช้เรียกนักธนูอีกด้วย เนื่องมาจากผลกระทบของการยิงในตอนนั้นพลปืนจึงต้องอยู่ที่ส่วนหลังของปืนใหญ่ พร้อมอีกมือหนึ่งค้ำเอาไว้ จึงได้ชื่อว่า"แฮนด์กัน" (อังกฤษ: hand gun) กลายมามีความหมายเดียวกับคำว่า"ไฟร์อาร์ม" ถึงแม้ว่าคำว่า"ปืน"หรือ"กัน" (อังกฤษ: gun) ในปัจจุบันจะมักใช้เพื่อหมายถึงอาวุธปืน แต่ในทางทหารหรือผู้เชี่ยวชาญจะใช้เพื่อหมายถึงปืนขนาดใหญ่เท่านั้น ปืนใหญ่จะมีขนาดใหญ่กว่าอาวุธปืนอย่างมาก มักติดตั้งบนแท่นที่เคลื่อนที่ได้ จะมีขนาดมากถึง 18 นิ้วและอาจมีน้ำหนักถึงตัน อาวุธเช่นนี้ไม่ใช่อาวุธปืน
อาวุธปืนที่ถือได้อย่างปืนเล็กยาว คาร์ไบน์ ปืนพก และอาวุธปืนขนาดเล็กอื่นๆ มักไม่ถูกเรียกว่า"ปืน"หรือ"กัน"ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ ปืนกลจะยิงกระสุนขนาดเล็กกว่า (โดยปกติแล้วจะมีขนาด 14.5 ม.ม.หรือเล็กกว่า) และปืนกลมากมายจะมีทหารคอยบังคับมากกว่าหนึ่งนาย เช่นเดียวกันกับปืนใหญ่ โดยปกติแล้วอาวุธปืนอัตโนมัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้เพียงคนเดียวจะเรียกว่าปืนเล็กยาวอัตโนมัติ
ในศตวรรษปัจจุบันอาวุธปืนได้กลายมาเป็นอาวุธที่มีอำนาจที่ถูกใช้โดยมนุษย์ชาติ ในสงครามยุคใหม่ตั้งแต่ยุคเรอเนสซองซ์ได้มีการใช้อาวุธปืนมากมายในประวัติศาสตร์ทางทหารและประวัติศาสตร์ทั่วไป สิ่งนี้ได้สร้างการรบแบบใหม่ขึ้นมาซึ่งเป็นการหลอมหลอมกองทัพยุคใหม่
สำหรับปืนสั้นและปืนยาวในยุคก่อนๆ นั้นจะใช้กระสุนที่เป็นทรงกลมและมีการเริ่มทำเป็นทรงเรียวในยุคใหม่ แต่ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยลูกเหล็กทรงกลม กระสุนจะถูกยิงโดยการเผาไหม้ที่รวดเร็วแต่ในอาวุธขนาดเล็กมักจะบรรจุระเบิดไว้ภายในตัวเองซึ่งถูกสั่งห้ามในสนธิสัญญา (Hague Convention) กระสุนของอาวุธขนาดเล็กถูกสั่งห้ามในสงครามด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน สำหรับปืนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นกระสุนที่มีระเบิดเช่นเดียวกับแบบก่อนๆ
จนกระทั่งถึงทศวรรษที่ 1800 กระสุนและดินปืนถูกแยกออกจากกันถูกใช้โดยอาวุธอย่างปืนเล็กยาว ปืนพก และปืนใหญ่ บางครั้งเพื่อความสะดวกในความเหมาะสมของดินปืนและกระสุนถูกห่อรวมกันในกระดาษ เรียกว่าปลอกกระสุนปืน (อังกฤษ: Cartridge) สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับท่อเหล็กที่ห่อหุ้มตัวจุดระเบิดและดินระเบิด ซึ่งกระสุนจะวางไว้ที่ปลายตรงกันข้ามกับตัวจุดระเบิด กระสุนแบบมีปลอกนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายและในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมันก็ได้กลายมาเป็นกระสุนแบบพื้นฐานสำหรับอาวุธปืนขนาดเล็ก รถถัง และปืนใหญ่ ปืนครกจะใช้การห่อหุ้มที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตามกระสุนและกรอบมักรวมเป็นชิ้นเดียวกันซึ่งจะถูกยิงออกจากอาวุธปืน ปืนใหญ่ประจำเรือพิสัยใกล้มีบ้างที่ใช้กระสุนแบบกรอบ แต่ปืนบนเรือประจัญบานและเรือลาดตระเวนส่วนใหญ่ใช้กระสุนระเบิดและแยกออกจากดินปืน ซึ่งถูกเลือกตามความต้องการในกระสุนแบบทรงเรียว
ความแตกต่างระหว่างกระสุนกับอาวุธปืนก็คือบางครั้งกระสุนนั้นหมายถึงอาวุธ ส่วนอาวุธปืนนั้นหมายถึงแท่นอาวุธ ในบางกรณีอาวุธปืนสามารถใช้เป็นอาวุธได้โดยตรงในการต่อสู้ระยะใกล้ ตัวอย่างเช่น ปืนเล็กยาว ปืนคาบศิลา และปืนกลมือสามารถติดดาบปลายปืนจนทำให้มันกลายเป็นหอกหรือหลาว ด้วยบางข้อยกเว้น พานท้ายปืนของปืนยาวสามารถใช้เป็นตะบองเพื่อตีได้ มันยังเป็นไปได้ที่จะตีใครด้วยลำกล้องปืนหรือด้ามจับ
ปัญหาของอาวุธปืนคือการเก็บรักษา ตัวกระสุนเองมักทิ้งเศษเอาไว้ และมันอาจก่อให้เกิดการขัดลำกล้องได้ เศษผงเหล่านี้มักก่อให้เกิดการขัดข้องภายในลำกล้อง มันจะส่งผลให้ต้องทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาความมีประสิทธิภาพของปืนเอาไว้
บางครั้งอาวุธปืนจะหมายถึงอาวุธปืนขนาดเล็ก อาวุธดังกล่าวคืออาวุธปืนที่สามารถขนย้ายได้ด้วยบุคคลคนเดียว ตามที่ว่าเอาไว้ในกฎหมายสงคราม อาวุธปืนขนาดเล็กถูกจัดว่าเป็นอาวุธปืนซึ่งยิงกระสุนที่ไม่มากไปกว่า 15 ม.ม.[ต้องการอ้างอิง] อาวุธปืนขนาดเล็กจะถูกเล็งโดยปกติโดยใช้ศูนย์เล็งธรรมดา ระยะความแม่นยำสำหรับอาวุธปืนขนาดเล็กมักมีข้อจำกัดประมาณ 1,600 เมตร โดยทั่วไปแล้วจัดว่าน้อย ถึงแม้ว่าสถิติในปัจจุบันของปืนซุ่มยิงจะมากกว่า 2.4 กิโลเมตรก็ตาม

ประวัติ

การพรรณาถึงอาวุธครั้งแรกสุดนั้นมาจากภาพแกะสลักในถ้ำที่ซิชวนซึ่งย้อนกลับไปถึงทศวรรษที่ 1100 โดยเป็นรูปที่ถือปืนทรงแจกันพร้อมเปลวไฟและลูกปืนใหญ่พุ่งออกมา[1] ปืนที่เก่าแก่ที่สุดทำมาจากทองสัมฤทธ์ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อค.ศ. 1288 เนื่องจากมันถูกค้นพบในบริเวณเขตโบราณสถานเอเชียง (Acheng District) ที่ซึ่งยวนชิ (Yuan Shi) ได้ทำการรบมาก่อน[2]
ชาวยุโรป อาหรับ และเกาหลีล้วนมีอาวุธปืนในทศวรรษที่ 1300 ชาวตุรกี อิหร่าน และอินเดียได้อาวุธปืนหลังจากทศวรรษที่ 1400 โดยทั้งหมดมาจากฝั่งยุโรป[1] ชาวญี่ปุ่นไม่ได้รับอาวุธปืนจนถึงทศวรรษที่ 1500 และจากนั้นก็ได้รับจากชาวโปรตุเกสมากกว่าที่จะเป็นชาวจีน[1]

 อาวุธปืนขนาดเล็ก

 ปืนสั้นหรือปืนพก

ประเภท ๑๔ ปืนพก
อาวุธปืนขนาดเล็กที่สุดนั้นคือปืนสั้นหรือปืนพก ปืนสั้นนั้นมีด้วยกันสามชนิด คือ แบบยิงทีละนัด ปืนลูกโม่ และปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ปืนลูกโม่จะมีจำนวนการยิงตามช่องใส่กระสุนทรงกระบอก ในแต่ละช่องของทรงกระบอกจะบรรจุกระสุนเอาไว้หนึ่งนัด ปืนพกกึ่งอัตโนมัติจะมีช่องปืนเพียงช่องเดียวที่ด้านท้ายของลำกล้องและมีแมกกาซีนที่สามารถเปลี่ยนได้จึงทำให้พวกมันสามารถยิงได้มากกว่าหนึ่งนัด ปืนลูกโม่มาเตบาของอิตาลีเป็นแบบลูกผสมที่หายาก ในการเหนี่ยงไกแต่ละครั้งจะหมุนกระบอกทันทีจนทำให้มันยิงได้อย่างรวดเร็ว ปืนเว้บลีย์ของอังกฤษก็เป็นปืนลูกโม่อัตโนมัติเช่นกัน มันเกิดขึ้นประมาณศตวรษที่ 20
ปืนสั้นแตกต่างจากปืนเล็กยาวหรือปืนไรเฟิลและปืนลูกซองด้วยขนาดที่เล็กกว่า ขาดพานท้าย กระสุนที่ไม่ทรงพลังเท่า และถูกออกแบบมาเพื่อใช้ด้วยหนึ่งหรือสองมือ ในขณะที่คำว่า"ปืนพก"สามารถใช้เพื่อบรรยายถึงปืนสั้น มันมักหมายถึงปืนพกที่ยิงทีละนัดหรือแบบที่ป้อนกระสุนอัตโนมัติ และปืนลูกโม่ก็จะหมายความโดยตรง
คำว่า"ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ"ใช้และบางครั้งก็เข้าใจผิดว่าเป็นปืนอัตโนมัติ เนื่องจากอันที่จริงแล้วคำว่าอัตโนมัติของมันไม่ได้หมายถึงกลไกการยิงแต่เป็นการป้อนกระสุน เมื่อยิงปืนพกกึ่งอัตโนมัติจะใช้แก๊สเพื่อดีดปลอกกระสุนเก่าออกและใส่กระสุนใหม่เข้าไปแทนโดยอัตโนมัติ โดยปกติแล้ว (แต่ก็ไม่เสมอไป) กลไกการยิงก็เป็นระบบอัตโนมัติเช่นกัน ปืนพกอัตโนมัติจะยิงกระสุนหนึ่งนัดต่อการเหนี่ยวไกหนึ่งครั้ง ไม่เหมือนกับอาวุธปืนอัตโนมัติอย่างปืนกลซึ่งยิงตลอดนานเท่าที่เหนี่ยวไกและจะมีปลอกกระสุนที่ยังไม่ได้ใช้ในแมกกาซีน อย่างไรก็ตามปืนพกบางรุ่นก็เป็นแบบอัตโนมัติเต็มที่ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน ทั้ง"กึ่งอัตโนมัติ"และ"บรรจุกระสุนอัตโนมัติ"จึงหมายถึงอาวุธปืนที่ยิงหนึ่งนัดต่อการเหนี่ยวไก
ก่อนศตวรรษที่ 19 ปืนสั้นทั้งหมดเป็นแบบยิงทีละนัด ด้วยการประดิษฐ์ปืนลูกโม่ขึ้นมาในปีพ.ศ. 2321 ปืนพกก็สามารถมีกระสุนได้มากกว่าหนึ่งและมันก็กลายมาเป็นที่นิยม การออกแบบปืนพกบรรจุกระสุนอัตโนมัตินั้นปรากฏตัวขึ้นในทศวรรษที่ 1870 และได้เข้ามาแทนที่ปืนลูกโม่เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อจบศตวรรษที่ 20 ปืนสั้นส่วนมากที่ถูกใช้โดยกองทัพ ตำรวจ และพลเรือนเป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าปืนลูกโม่ยังคงเป็นที่แพร่หลายอยู่ กองทัพและตำรวจใช้ปืนพกกึ่งอัตโนมัติเพราะว่าความจุของแมกกาซีนที่มากและความสามารถในการบรรจุกระสุนได้อย่างรวดเร็ว ปืนลูกโม่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักสะสมเพราะว่ามันทรงพลังมากกว่าปืนรุ่นใหม่และความทนทาน ง่ายดาย และแข็งแกร่งทำให้มันเหมาะกับการใช้อย่างทรหด การออกแบบทั้งสองเป็นที่นิยมในหมู่พลเรือนซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าของ
ปืนสั้นมีหลายรูปร่างและขนาด ตัวอย่างเช่น "เดอร์ริงเกอร์"เป็นปืนที่มีขนาดเล็กมาก ลำกล้องที่สั้น มักมีหนึ่งหรือสองลำกล้องแต่บางครั้งก็มีมากกว่านั้น ซึ่งต้องบรรจุกระสุนด้วยมือหลังจากทำการยิง ปืนสำหรับการดวล มันถูกใช้อย่างมากในหมู่สุภาพบุรุษ พวกเขามักมีมันเพื่อแสดงถึงตำแหน่งและความสูงศักดิ์ ปืนลูกโม่และปืนพกบรรจุกระสุนอัตโนมัติมีขนาดที่หลากหลาย ซึ่งปืนพกแบบใหม่มักสี่ขนาด ในแต่ละขนาดจะมีข้อดีและข้อด้อย ปืนที่เล็กกว่ามักจะต้องแลกด้วยกระสุนที่น้อยลง ในขณะที่ปืนที่ใหญ่กว่าก็จะมีความแม่นยำมากกว่า ในปืนแบบอัตโนมัติอย่าง เอ็มเอซี-10 กล็อก 18 และเบเรทต้า 93อาร์เป็นการพัฒนาครั้งล่าสุดของศวรรษที่ 20
ปืนสั้นมีขนาดเล็กและมักง่ายที่จะพกพา ดังนั้นทำให้มือทั้งสองนั้นว่างพอที่จะทำอย่างอื่นได้ ปืนสั้นที่มีขนาดเล็กสามารถเก็บซ่อนได้ง่าย ทำให้มันถูกเลือกเป็นอาวุธสำหรับป้องกันตัว ในกองทัพปืนสั้นมักใช้โดยผู้ที่ไม่คาดว่าจะต้องใช้อาวุธปืนจริงๆ อย่างนายพลและนายทหาร และสำหรับผู้ที่ไม่มีที่ว่างพอจะใช้ปืนเล็กยาวอย่างนักบินหรือพลขับยานพาหนะ ในบทบาทสุดท้ายนี้พวกมันมักถูกใช้เป็นคาร์บิน คือปืนเล็กยาวขนาดสั้นซึ่งมักใช้โดยทหารพลร่มเพราะว่าขนาดที่เล็กของมัน ปืนสั้นยังถูกใช้โดยพลปืนเล็กยาวในฐานะอาวุธสำรอง อย่างไรก็ดีความเชื่อถือได้ในการยิงและอำนาจการยิงนั้นก็ตกเป็นของปืนเล็กยาวจู่โจม มันจึงทำให้ปืนสั้นแทบหมดประโยชน์ไปเมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 นอกจากกองทัพแล้วปืนสั้นก็มักเป็นอาวุธของตำรวจและพลเรือนตามกฎหมาย

พลเมืองมีสิทธิในการพกอาวุธในที่สาธารณะเป็นปืนสั้นเท่านั้นยกเว้นเมื่อทำการล่าสัตว์ เพราะอาวุธปืนที่ไม่ได้ปกปิดนั้นจะดังดูดความสนใจและไม่ค่อยปลอดภัยนัก ปืนสั้นยังถูกใช้ในกีฬาถึงแม้ว่าการล่าสัตว์ที่เป็นกีฬานั้นจะไม่เหมาะกับปืนสั้นก็ตาม นักล่าสัตว์บางคนที่ต้องทการล่าในที่ที่แคบก็มักเลือกที่จะใช้ปืนสั้นแทน กระสุนปืนสั้นยังถูกกว่ากระสุนของปืนเล็กยาวและมักมีประสิทธิภาพกับสัตว์หลายชนิด

 ปืนยาว

ประเภท ๙๙ ปืนยาว
ปืนยาวในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นปืนเล็กยาวหรือปืนลูกซอง ในทางประวัติศาสตร์ปืนยาวนั้นคือปืนคาบศิลา ปืนเล็กยาวมีจีลำกล้องที่ด้านในทำเป็นร่องเกลียวและยิงกระสุนทีละนัด ในขณะที่ปืนลูกซองจะยิงออกมาเป็นลูกปราย นัดเดียว กระสุนแซบบ็อท หรือกระสุนพิเศษ (อย่างแก็สน้ำตา) ปืนเล็กยาวมีบริเวณปะทะที่เล็กมากแต่มีระยะไกลและความแม่นยำสูง ปืนลูกซองนั้นมีบริเวณปะทะขนาดใหญ่แต่มีความแม่นยำและระยะที่น้อย อย่างไรก็ตามบริเวณปะทะที่ใหญ่มากขึ้นสามารถชดเชยความแม่นยำได้ อย่างที่ปืนลูกซองมักถูกใช้เพื่อยิงเป้าบิน
ปืนเล็กยาวและปืนลูกซองมักใช้เพื่อล่าสัตว์และมักใช้เพื่อป้องกันบ้านหรือที่ทำธุรกิจ โดยปกติแล้วในการล่าสัตว์จะใช้ปืนเล็กยาว ในขณะที่การล่านกจะใช้ปืนลูกซอง ปืนลูกซองนั้นยังถูกใช้เพื่อป้องกันที่อาศัยหรือธุรกิจเพราะว่ามันมีบริเวณปะทะที่กว้าง สร้างความเสียหายได้เยอะ ระยะที่สั้นกว่า และไม่ทะลุผนังจนสร้างความเสียหายเกินไป แต่ปืนพกก็นิยมใช้ในทางนี้ด้วยเช่นกัน
ปืนเล็กยาวและปืนลูกซองนั้นมีหลากหลายแบบโดยขึ้นอยู่กับวิธีในการเติมกระสุน ปืนเล็กยาวแบบลูกเลื่อนและแบบงัดนั้นทำการแบบมือ ทั้งสองต้องใช้เวลาในการนำปลอกกระสุนออก ทั้งสองแบบมักถูกใช้โดยปืนเล็กยาว ปืนเล็กยาวและปืนลูกซองแบบสไลด์หรือปั้มพ์มักจะดีดกระสุนออกโดยอัตโนมัติ แบบนี้มักใช้โดยปืนลูกซองแต่ก็มีบริษัทผู้ผลิตไม่น้อยที่นำไปใช้กับปืนเล็กยาว
ทั้งปืนเล็กยาวและปืนลูกซองยังมีแบบที่ต้องบรรจุกระสุนด้วยมือแทนที่จะเป็นกลไก ทั้งปืนเล็กยาวและปืนลูกซองเริ่มมีหนึ่งหรือสองลำกล้อง อย่างไรก็ดีเนื่องมาจากราคาที่แพงและความยากในการผลิจ แบบที่มีสองลำกล้องจึงผลิตออกมาน้อย ปืนเล็กยาวสองลำกล้องนั้นมักใช้ล่าสัตว์ที่อัฟริกา
ปืนเล็กยาวถูกใช้โดยพลแม่นปืนในหลายๆ ประเทศแม้กระทั่งในยุโรปและสหรัฐฯ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เมื่อปืนเล็กยาวปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก หนึ่งในการแข่งขันปืนเล็กยาวที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2318 เมื่อแดเนียล มอร์แกนได้ทำหน้าที่พลแม่นปืนในเวอร์จิเนียในสงครามประกาศอิสรภาพของอเมริกา ในบางประเทศพลแม่นปืนคือความภูมิใจของชาติ ปืนเล็กยาวพิเศษบางชนิดถูกอ้างว่ามีระยะถึง 1 ไมล์ (1,600 เมตร) ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะน้อย ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 กีฬาปืนลูกซองนั้นเป็นที่นิยมมากกว่าปืนเล็กยาว
ในกองทัพ ปืนเล็กยาวแบบลูกเลื่อนพร้อมกับกล้องส่องจะหมายถึงปืนซุ่มยิง อย่างไรก็ตามในสงครามเกาหลีปืนเล็กยาวแบบลูกเลื่อนและกึ่งอัตโนมัติที่ถูกใช้โดยทหารราบนั้นจะสามารถเปลี่ยนเป็น"ปืนเล็กยาวอัตโนมัติ"ได้

 ปืนอัตโนมัติ

ปืนอัตโนมัติเป็นอาวุธปืนที่สามารถทำการยิงกระสุนได้หลายนัดในการเหนี่ยวไกหนึ่งครั้ง แกทลิ่งเป็นอาวุธที่ทำงานด้วยข้อหมุนแบบแรกซึ่งเป็นปืนอัตโนมัติชนิดแรกเช่นกัน แม้ว่าปืนกลอย่างในปัจจุบันยังไม่เป็นที่นิยมนักในตอนนั้นจนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปืนอัตโนมัติจะถูกใช้โดยกองทัพเท่านั้นแม้ว่ามีจำนวนมากที่ถูกใช้โดยอาชญากร

 ปืนกล

FN Minimi
ปืนกลเป็นอาวุธอัตโนมัติขนาดแท้ โดยปกติจะไม่เหมือนกับอาวุธอัตโนมัติด้วยการที่มันใช้สายกระสุน (บางแบบเป็นแบบวงกลม) โดยทั่วไปจะใช้กระสุนคล้ายกับปืนเล็กยาวตั้งแต่ 5.56 ม.ม.ของนาโต้ไปจนถึง .50 บีเอ็มจีหรืออาจมีขนาดใหญ่กว่าสำหรับอาวุธเครื่องบิน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ถูกใช้อย่างกว้างขวางนักจนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปืนกลแบบแรกๆ นั้นถูกใช้โดยกองทัพในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 พวกมันเป็นอาวุธปืนสำหรับป้องกันโดยมีผู้ควบคุมสองนาย เพราะว่ามันยากที่ตะเคลื่อนย้ายและติดตั้งมัน และพวกมันก็ไม่ค่อยมีความแม่นยำ ปืนกลขนาดเบาในยุคใหม่อย่างเอฟเอ็น มินิมิมักถูกใช้โดยทหารเพียงหนึ่งนาย พวกมันยิงกระสุนออกมามากและในอัตราที่สูงและมักถูกใช้เพื่อสร้างการยิงคุ้มกัน ปืนกลมักติดตั้งอยู่บนยานพาหนะหรือเฮลิคอปเตอร์ และมักถูกใช้เป็นอาวุธของเครื่องบินขับไล่และรถถังตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

 ปืนกลมือ

ปืนกลมือเป็นอาวุธปืนที่ใช้แมกกาซีน มักมีขนาดเล็กกว่าปืนอัตโนมัติแบบอื่นๆ ซึ่งมันนั้นใช้กระสุนของปืนพก ด้วยเหตุนี้เองปืนกลมือจึงมักเรียกกันว่าปืนพกกลโดยเฉพาะเมื่อหมายถึงปืนอย่างสกอร์เปียน วีซี. 61 และกล็อก 18 ตัวอย่างของปืนกลมือได้แก่อูซี่ของอิสราเอลและเอชเค เอ็มพี5 ซึ่งใช้กระสุน 9x19 ม.ม.แบบพาราเบลลัม ปืนกลมือทอมป์สันของอเมริกาที่ใช้กระสุน .45 เอซีพีและเอฟเอ็น พี90 ของเบลเยี่ยมซึ่งใช้กระสุน 5.7x28 ม.ม. เนื่องมาจากขนาดที่เล็กของพวกมันและกระสุนที่ไม่ทะลุทะลวงจนเกินไป ปืนกลมือจึงมักเป็นที่ชื่นชอบในกองทัพและตำรวจโดยใช้ในบริเวณที่เป็นอาคารหรือในเมือง
ชนิดของอาวุธปืนที่คล้ายกันนั้นคืออาวุธป้องกันบุคคลหรือพีดีดับบลิว (Personal Defense Weapon) ซึ่งเป็นปืนกลมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อยิงกระสุนของปืนเล็กยาว ปืนกลมือนั้นได้เปรียบที่ขนาดเล็กและความจุกระสุน แต่ถึงกระนั้นกระสุนของปืนพกที่มันใช้ก็ขาดการทะลุทะลวง ในทางตรงกันข้ามกระสุนของปืนเล็กยาวนั้นสามารถเจาะทะลุเกราะได้และแม่นยำ แต่แม้กระทั่งคาร์บินก็มีขนาดใหญ่เทอะทะจนยากในการใช้งานในที่แคบ ทางแก้ไขของบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืนจำนวนมากคือการนำเสนออาวุธที่ผสมปืนกลมือเข้ากับอำนาจการยิงของกระสุนที่ทรงพลังหรือการนำปืนคาร์บินมาผสมกับปืนกลมือนั่นเอง ตัวอย่างเช่น เอฟเอ็น พี90 และเอชเค เอ็มพี7

[แก้] ปืนเล็กยาวอัตโนมัติ

ปืนเล็กยาวอัตโนมัติเป็นปืนยาวที่ใช้แมกกาซีน ใช้โดยทหารหนึ่งนาย ซึ่งทำงานเป็นระบบอัตโนมัติ ปืนเล็กยาวอัตโนมัติบราวนิ่งเป็นอาวุธอัตโนมัติชนิดแรกของกองทัพสหรัฐฯ และถูกใช้เพื่อการยิงคุ้มกันหรือสนับสนุนซึ่งในปัจจุบันเป็นหน้าที่ของปืนกลขนาดเบา ปืนเล็กยาวอัตโนมัติรุ่นอื่นๆ ได้แก่เฟเดรอฟ อาฟโตมัทและปืนเล็กยาวอัตโนมัติฮวท ต่อมาฝ่ายเยอรมนีได้ใช้เอสทีจี 44ในสงครามโลกครั้งที่สอง มันเป็นปืนเล็กยาวอัตโนมัติขนาดเบา ปืนนี้ไดกลายมาเป็นต้นแบบของปืนเล็กยาวจู่โจม หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง เอ็ม14 (เข้ามาแทนที่เอ็ม1 กาแรนด์) ถูกนำมาใช้โดยสหรัฐฯ ตามมาด้วยปืนเล็กยาวเอ็ม16เอ1 ที่ถูกใช้อย่างกว้างขวางในสงครามเวียดนาม นอกจากนั้นยังมีเอเค 47 ของคาลาชนิคอฟที่ถูกใช้โดยสหภาพโซเวียตและฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างจีน เกาหลีเหนือ และเวียดนามเหนือ ทั้งเอ็ม16 และเอเค-47 ยังคงถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าปืนเล็กยาวอัตโนมัติแบบอื่นๆ จะมีให้ใช้ก็ตาม เอ็ม16เอ2 ที่มีขนาดเล็กกว่าหรือเอ็ม4 คาร์บินถูกใช้โดยพลขับรถถังและยานพาหนะ พลร่ม พลสนับสนุน และในสถานที่ต่างๆ ที่คับแคบ ไอเอ็มไอ กาลิลของอิสราเอลนั้นคล้ายคลึงกับเอเค-47 มันถูกใช้โดยอิสราเอล อิตาลี พม่า พิลิปปินส์ เปรู และกัมพูชา เอสไอจี ซูเออร์ของสวิตเซอร์แลนด์ได้ผลิตเอสไอจี เอสจี 550 ที่ใช้โดยฝรั่งเศส ชิลี และสเปน และสเตร์ แมนนิลเชอร์ได้ผลิตสเตร์ เอยูจีที่ใช้โดยออสเตรเลีย อสสเตรีย นิวซีแลนด์ ไอร์แลนด์ และซาอุดิอาระเบีย

 กลไกการยิงและบรรจุกระสุน

 ปืนใหญ่มือที่บรรจุกระสุนทางปากกระบอก

อาร์คิวบัสจากประเทศญี่ปุ่น
ต้นกำเนิดของอาวุธปืนทั้งหมดคือปืนใหญ่มือ (อังกฤษ: hand cannon) ที่ใช้ดินปืนและยิงผ่านทางปากกระบอกในขณะที่ชนวนอยู่ที่ด้านหลัง ชนวนจะถูกจุดด้วยไฟจนทำให้ดินปืนเกิดการระเบิดและส่งลูกปืนใหญ่ออกไป ในทางทหารปืนใหญ่มือแบบพื้นฐานจะส่งพลังมากในขณะที่มันก็ไร้ประโยชน์เพราะพลปืนไม่สามารถทำการเล็งได้ การถีบกลับก็ถูกดูดซับได้เพียงการใช้ไม้ค้ำแทนพานท้าย ด้วยการไม่สามารถควบคุมทั้งดินปืนและเส้นผ่าศูนย์กลางของกระสุนได้มันจึงส่งผลให้การยิงนั้นไม่แม่นยำ ปืนใหญ่มือถูกแทนที่ด้วยอาร์คิวบัส (อังกฤษ: arqurbus) หรือปืนคาบชุดที่ทรงพลังกว่า

 ปืนบรรจุกระสุนทางปากกระบอก

ปืนคาบศิลาแบบนี้เป็นหนึ่งในการพัฒนาของปืนในช่วงแรกๆ อาวุธปืนจะบรรจุดินปืนทางปากกระบอก จากนั้นก็ตามด้วยกระสุนลูกกลม (โดยปกติแล้วจะเป็นของแข็งทรงกลม แต่หากหมดกระสุนแล้วก็มักใช้หินแทน) ในปัจจุบันปืนแบบนี้ที่พัฒนาแล้วยังถูกสร้างอยู่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการล่าสัตว์ ปืนจะต้องทำการบรรจุกระสุนใหม่ทุกครั้งหลังจากยิง พลธนูที่มีทักษะสามารถยิงธนูได้รวดเร็วกว่าปืนคาบศิลาแบบแรกๆ ถึงแม้ว่าในศตวรรษที่ 18 ปืนชนิดนี้ได้กลายมาเป็นอาวุธพื้นฐานในกองทัพ ทหารที่ฝึกมาดีสามารถยิงได้ถึงหกนัดต่อนาที ก่อนหน้านั้นความมีประสิทธิภาพของปืนชนิดนี้มีจำกัดเพราะความช้าในการบรรจุกระสุนและกลไกการยิงที่ไม่สมบูรณ์ นอกจากนั้นมันยังมีความเสี่ยงสูงต่อผู้ที่ใช้มัน

] ระบบแมทช์ล็อก

แมทช์ล็อกเป็นอาวุธปืนขนาดเล็กชนิดแรกและมีระบบการยิงที่เรียบง่ายที่สุด มันใช้ระบบกลไกที่เรียกว่าแมชท์ล็อก (อังกฤษ: matchlock) ซึ่งดินปืนในลำกล้องจะถูกจุดระเบิดด้วยเชือกที่ไหม้ไฟเรียกว่าตัวประกบหรือ"แมทช์" ตัวประกบจะถูกบีบอัดเข้าในเหล็กรูปตัว S เมื่อดึงไกปืนตัวประกบจะถูกดึงเข้าไปสัมผัสกับ"ช่องสัมผัส"ที่ฐานของลำกล้องซึ่งจะมีดินปืนโรยอยู่ จากนั้นก็จุดระเบิดดินปืนในลำกล้อง ตัวประกบมักจะต้องใส่เชือกเข้าไปใหม่เมื่อทำการยิง

 ระบบลูกล้อ

แบบลูกล้อหรือวีลล็อก (อังกฤษ: wheellock) เป็นผู้ตกทอดมาจากระบบแมทช์ล็อกและมาก่อนแบบนกสับ ถึงแม้ว่ามันจะมีข้อผิดหลาดอยู่หลายประการ วีลล็อกนั้นก็เป็นการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพเหนือแมทช์ล็อกในเรื่องความสะดวกและความปลอดภัย เพราะว่ามันไม่ต้องใช้การเผาไหม้อย่างช้าๆ เพื่อไปจุดดินปืน มันทำงานด้วยการใช้ลูกล้อขนาดเล็กที่คล้ายกับของไฟแช็กซึ่งจะถูกหมุนขึ้นพร้อมกับสลักก่อนใช้ และเมื่อเหนี่ยวไกมันก็จะกระทบกันจนสร้างประกายไฟที่จะไปจุดระเบิดดินปืนในช่องสัมผัส มันน่าจะถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยลีโอนาร์โด ดาวินชี ถึงกระนั้นระบบลูกล้อก็ไม่เป็นที่แพร่หลายนัก

ระบบนกสับ

ระบบนกสับหรือฟลินท์ล็อก (อังกฤษ: flintlock) เป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ของอาวุธปืนขนาดเล็ก ประกายไฟถูกใช้เพื่อจุดระเบิดดินปืนในช่องสัมผัสที่ทำหน้าที่โดยหินที่ยึดเข้ากับนกปืน ซึ่งเมื่อปล่อยโดยไกปืนชิ้นเหล็กที่เรียกว่า"ฟริซเซน" (frizzen) เพื่อสร้างประกายไฟ นกสับจะต้องถูกตั้งใหม่ทุกครั้งหลังยิง และหินกระทบจะต้องถูกแทนเพราะถูกกระทบ ระบบนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในศตวรรษที่ 18 และ 18 ทั้งใบปืนคาบศิลาและปืนเล็กยาว
 เพอร์คัสชั่นแค็ป
เพอร์คัสชั่นแค็ป (อังกฤษ: Percussion cap) หรือแก๊ปเริ่มเข้ามาอย่างกว้างขวางเมื่อศตวรรษที่ 19 มันคือการพัฒนาครั้งใหญ่เหนือกลไกนักสับหรือฟลินท์ล็อก ด้วยกลไกแก๊ป ดินปืนในแบบก่อนหน้าที่ถูกใช้ในทุกอาวุธปืนถูกแทนที่โดยระเบิดที่บรรจุอยู่ในตัวเองในรูปแบบเล็กๆ ที่เรียกว่า"แก๊ป" แก็ปถูกทำให้รวดเร็วขึ้นในช่องสัมผัสของปืนและจุดระเบิดด้วยนกสับ
เมื่อเกิดการกระทบ เปลวไฟจากแก๊ปจะจุดระเบิดดินปืน เช่นเดียวกับฟลินท์ล็อก แต่มันไม่จำเป็นต้องบรรจุดินปืนใส่ช่องสัมผัสอีกต่อไป และยิ่งไปกว่านั้นช่องสัมผัสไม่ต้องเผยตัวอีกต่อไป ผลที่ได้ของกลไกแก๊ปถูกมองว่าปลอดภัยกว่า ทนทานต่อสภทพอากาศ และไว้ใจได้มากกว่ามาก ปืนบรรจุทางปากกระบอกทั้งหมดที่ผลิตออกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ใช้แก๊ปยกเว้นพวกที่เป็นของจำลองหรืออาวุธปืนรุ่นก่อนหน้า

 ปลอกกระสุน

ปลอกกระสุน (อังกฤษ: cartridge) เป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ของอาวุธปืนขนาดเล็กและปืนใหญ่ขนาดเบาในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เมื่อกระสุน ซึ่งก่อนหน้าเคลื่อนที่ได้ด้วยดินปืนและกระสุนกลม ได้ถูกผสมเข้าในปลอกกระสุนที่มีแก๊ป ดินปืน และหัวกระสุนในหีบห่อเดียวกัน ข้อได้เปรียบหลักของปลอกกระสุนทองเหลืองคือประสิทธิภาพและแรงดันจากแก็สที่ไว้ใจได้ เมื่อแรงดันแก็สกดต่อปลอดระสุนเพื่อดันมันออกไปจะดันมันเข้ากับด้านในของลำกล้อง สิ่งนี้ป้องกันการรั่วไหลของแก็สร้อนซึ่งอาจทำให้ผู้ยิงบาดเจ็บได้ ปลอกกระสุนทองเหลืองยังเปิดทางให้กับอาวุธปืนกลแบบใหม่โดยรวมลูกกระสุน ดินปืน และไพรเมอร์เข้าด้วยกัน
ก่อนเกิดสิ่งนี้ ปลอกกระสุนเป็นการรวมดินปืนเข้าเป็นลูกกลมในถุงหนังสัตว์ขนาดเล็ก (หรือห่อเป็นมวนกระดาษ) รูปแบบของปลอกกระสุนแบบนี้ต้องถูกอัดให้แน่นเข้าไปในลำกล้องทางปากกระบอก และทั้งดินปืนในช่องสัมผัสหรือแก๊ปที่อยู่บนช่องสัมผัสจะจุดระเบิดดินปืนในปลอกกระสุน ปลอกกระสุนพร้อมกับแก๊ปภายในหรือไพรเมอร์ (primer) ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้เพื่อเป็นพื้นฐานของอาวุธปืน ในอาวุธปืนที่ยิงกระสุนมีปลอก นกสับจะตีไพรเมอร์ซึ่งมันจะไปจุดระเบิดดินปืนภายใน ไพรเมอร์จะอยู่ที่ส่วนท้ายของปลอกกระสุน ทั้งในขอบหรือแก๊ปขนาดเล็กจะถูกฝังลงในส่วนกลางของฐาน ตามหลักแล้วปลอกกระสุนอย่างหลังจะทรงพลังกว่าแบบแรก มันทำงานได้ในสภาพที่แรงกดดันสูง ปลอกกระสุนดังกล่าวยังปลอดภัยกว่าอีกด้วย
เกือบจะทั้งหมดของอาวุธปืนในปัจจุบันจะบรรจุปลอกกระสุนโดยตรงทางด้านท้าย มีบ้างที่บรรจุโดยใช้แมกกาซีนซึ่งจะบรรจุกระสุนมากกว่า แมกกาซีนมักเป็นแบบกล่องหรือแบบกลมซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับการนำมาใช้ใหม่และถอดออกจากปืนได้ แมกกาซีนบางแบบอย่างของเอ็ม1 การแรนด์และปืนเล็กยาวล่าสัตว์ส่วนใหญ่จะบรรจุแบบเป็นคลิปซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่บรรจุกระสุนเอาที่ส่วนขอบของกล่องบรรจุ ในกรณีส่วนใหญ่แมกกาซีนและคลิปแตกต่างกันตรงที่การป้อนกระสุนเข้าไปในส่วนท้ายของปืน ในขณะที่แบบต่อมาเป็นการเติมกระสุนเข้าไปในแมกกาซีนแทน

 อาวุธปืนแบบกึ่งอัตโนมัติ อัตโนมัติ และยิงต่อเนื่อง

ฟามาสของฝรั่งเศส มันเป็นตัวอย่างหนึ่งของปืนเล็กยาวแบบบุลพัพ
อาวุธปืนขนาดเล็กจำนวนมากนั้นเป็นแบบที่ยิงทีละนัด กล่าวคือผู้ใช้ต้องตั้งนกสับและบรรจุกระสุนใหม่ทุกครั้งหลังทำการยิง ตัวอย่างเช่นปืนลูกซองแบบเก่า อาวุธปืนที่สามารถบรรจุกระสุนได้มากกว่าหนึ่งคือ ปืนเล็กยาวแบบคานเหวี่ยง (อังกฤษ: lever-action) ปืนลูกซองแบบปั๊ม (อังกฤษ: pump-action) และปืนเล็กยาวแบบลูกเลื่อนส่วนใหญ่เป็นตัวอย่างของอาวุธที่ทำการยิงต่อเนื่อง อาวุธปืนที่ตั้งนกสับและบรรจุกระสุนอัตโนมัติเมื่อเหนี่ยวถูกจัดว่าเป็นอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ อาวุธปืนอัตโนมัติเป็นปืนที่ตั้งนกสับ บรรจุกระสุน และยิงโดยอัตโนมัติเมื่อนานเท่าที่เหนี่ยวไกปืน อาวุธปืนของกองทัพมากมายในปัจจุบันจะมีทางเลือกยิงที่หลากหลาย ซึ่งสวิตช์ของกลไกที่ทำให้อาวุธปืนยิงได้ทั้งแบบกึ่งอัตโนมัติและอัตโนมัติ เอ็ม16เอ2 เอ็ม16เอ4 และเอ็ม4 คาร์บินในปัจจุบันไม่ใช้แบบอัตโนมัติ มันถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติที่ยิงทีละสามนัดแทน
อาวุธปืนที่ยิงรัวแบบแรกนั้นคือปืนแกทลิ่งที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ซึ่งจะยิงกระสุนจากแมกกาซีนเร็วเท่าที่ผู้ใช้หมุนข้อเหวี่ยง ในที่สุดกลไกยิงรัวก็สมบูรณ์และมีขนาดเล็กลงเพื่อมีขอบเขตที่ทั้งแรงสะท้อนและแรงดันของแก็สจากการยิงสามารถนำมาใช้เพื่อให้มันทำงาน ดังนั้นผู้ใช้ต้องการเพียงแค่เหนี่ยวไก ปืนเล็กยาวอัตโนมัติอย่างปืนเล็กยาวอัตโนมัติบราวน์นิงมักถูกใช้ในกองทัพในต้นศตวรรษที่ 20 และปืนเล็กยาวอัตโนมัติที่ใช้กระสุนปืนพกนั้นถูกเรียกว่าปืนกลมือก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
เดิมทีนั้นปืนกลมือมีขนาดพอๆ กับปืนคาร์บิน เพราะว่าพวกมันยิงกระสุนของปืนพกพวกมันจึงมีระยะที่จำกัด แต่ในการต่อสู้ระยะใกล้นั้นมันก็สามารถใช้ระบบอัตโนมัติได้โดยผู้ที่เชี่ยวชาญเนื่องมาจากแรงถีบที่น้อยของกระสุนปืนพก พวกมันยังมีราคาที่ถูกอย่างมากและสร้างได้ง่ายในช่วงสงคราม ทำให้ประเทศนั้นๆ ติดอาวุธให้กับกองทัพของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ปืนกลมือถูกลดขนาดลงโดยมีขนาดใหญ่กว่าปืนพกขนาดใหญ่เท่านั้น ปืนกลมือที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในปลายศตวรรษที่ 20 คือเฮคเลอร์แอนด์คอช เอ็มพี5 เอ็มพี5 นั้นจริงๆ แล้วถูกจัดว่าเป็น"ปืนพกกล"โดยเฮคเลอร์แอนด์คอช ถึงแม้ว่าจะใช้คำดังกล่าวกับปืนกลมือขนาดเล็กกว่าอย่างเอ็มเอซี-10 ซึ่งมีขนาดพอๆ กับปืนพก
นาซีเยอรมนีได้ดึงดูดความสนใจของโลกด้วยสิ่งที่ได้กลายมาเป็นชนิดของอาวุธปืนที่ถูกใช้อย่างกว้างขวางโดยกองทัพ นั่นก็คือปืนเล็กยาวจู่โจม (ดูที่เอสทีจี 44) ปืนเล็กยาวจู่โจมมักมีขนาดเล็กกว่าปืนเล็กยาวประจัญบานอย่างคาราไบเนอร์ 98เค แต่ความแตกต่างหลักของปืนเล็กยาวจู่โจมคือความสามารถในการยิงที่หลากหลายและการใช้กระสุนปืนเล็กยาวที่มีพลังน้อยกว่า สิ่งนี้ลดแรงถีบทำให้มันสามารถควบคุมได้ในระยะสั้นเหมือนกับปืนกลมือ ในขณะที่ยังคงมีความแม่นยำเช่นเดียวกับปืนเล็กยาวในระยะกลาง โดยปกติแล้วปืนเล็กยาวจู่โจมมีกลไกที่ทำให้ผู้ใช้เลือกการยิงแบบทีละนัด ทีละสามนัด และอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ในทางสากลปืนเล็กยาวสำหรับพลเมืองถูกจำกัดให้มีแค่ระบบกึ่งอัตโนมัติเท่านั้น
วิศวกรโซเวียตมิคาอิล คาลาชนิคอฟได้นำความคิดของเยอรมันมาใช้อย่างรวดเร็ว โดยการใช้กระสุนขนาด 7.62x39 มม.ที่ทรงพลังน้อยกว่าซึ่งดัดแปลงมาจากกระสุนขนาด 7.62x54 มม. อาร์ ของรัสเซีย เพื่อสร้างเอเค-47 ซึ่งได้กลายมาเป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่ใช้อย่างกว้างขวางที่สุดของโลก ในสหรัฐฯ การออกแบบปืนเล็กยาวจู่โจมในเวลาต่อมากำลังเกิดขึ้น สิ่งที่จะมาแทนที่เอ็ม1 การแรนด์ของสงครามโลกครั้งที่สองคืออีกการออกแบบหนึ่งจากจอห์น กาแรนด์ด้วยกระสุนขนาด 7.62x51 ม.ม.แบบนาโต้ หรือปืนเล็กยาว เอ็ม14 ซึ่งใช้โดยกองทัพสหรัฐฯ จนถึงทศวรรษที่ 1960 แรงถีบของเอ็ม14 เมื่อทำการยิงอัตโนมัตินั้นเป็นปัญหาเพราะลดความแม่นยำของมัน และในทศวรรษที่ 1960 มันถูกแทนที่ด้วยเออาร์-15 ของยูจีน สโตนเนอร์ซึ่งเปลี่ยนจากการใช้กระสุน .30 คาลิเบอร์ที่ทรงพลังที่ใช้โดยกองทัพสหรัฐฯ จนถึงสงครามเวียดนาม มาเป็นกระสุน .223 คาลิเบอร์ที่ขนาดเล็กกว่าแต่มีแรงถีบน้อยกว่า ต่อมากองทัพได้เรียกเออาร์-15 ว่าเอ็ม16 เอ็ม16 ของพลเมืองยังคงถูกเรียกว่าเออาร์-15 และดูเหมือนกับของทหารมาก
แบบที่มันสมัยถูกทำให้มีขนาดกระทัดรัดที่ยังทรงพลังเหมือนเดิม แบบบุลพัพ โดยการติดตั้งแมกกาซีนหลังไกปืน เป็นการรวมความแม่นยำและอำนาจการยิงของปืนเล็กยาวจู่โจมแบบเก่าเข้ากับขนาดที่กระทัดรัดของปืนกลมือ (ถึงแม้ว่ายังใช้ปืนกลมือกันอยู่) ตัวอย่างเช่น ฟามาสหรือเอสเอ80 ของอังกฤษ
ล่าสุดกระสุนขนาดเล็กกว่าแต่ให้การทะลุทะลวงที่มากกว่าได้ปรากฏตัวขึ้น เพื่อทำให้อาวุธป้องกันบุคคลสามารถเจาะทะลุเกราะได้ การออกแบบดังกล่าวเป็นรากฐานของเอฟเอ็น พี90 และเฮคเลอร์แอนด์คอช เอ็มพี7 กระสุนไร้หีบห่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง (ตัวอย่างเช่น เฮคเลอร์แอนด์คอช จี11 ของเยอรมนี) เฟลเชท (flechette) ยังเป็ยอีการพัฒนาหนึ่งที่ทำให้มีความสามารถในการทะลุละลวงและวิถีกระสุนที่แบนมาก อย่างไรก็ตามมันก็แรงเกินไป

แหล่งที่มา

  • Chase, Kenneth (2003), Firearms: A Global History to 1700, Cambridge University Press, ISBN 0-521-82274-2 
  • Crosby, Alfred W. (2002), Throwing Fire: Projectile Technology Through History, Cambridge University Press, ISBN 0-521-79158-8 
  • Needham, Joseph (1986), Science & Civilisation in China, V:7: The Gunpowder Epic, Cambridge University Press, ISBN 0521303583 

 อ้างอิง

ประวัติปืนอาก้า หรือ AK 47

AK-47 ปืนยอดนิยมของผู้ร้าย

- เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าปืนเล็กยาวเป็นอาวุธประจำกายของทหารราบ ทหารต้องพึ่งพามันได้ยามเข้าสมรภูมิ ไม่ว่าภูมิประเทศ และภูมิอากาสจะเป็นอย่างไร กลไกของปืนต้องทำงานได้ดีไม่ติดขัด ความขัดข้องแม้เพียงน้อยนิดหมายถึงชีวิตของทหารผู้ถือปืนกระบอกนั้น
- หากมีใครตั้งคำถามว่ามีปืนเล็กยาวแบบนั้นอยู่ในโลกหรือเปล่า คำตอบก็คือมี และมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947
แล้วในชื่อ AK-47
จากชื่อเต็ม Avtomat Kalashnikova obraztsova:goda 1947
ในชื่ออันคุ้นเคยว่า “อาก้า”


Mikhail Timofeevich Kalashnikov
- ปืนเล็กยาวจากฝีมือการออกแบบของนายทหารชาวรัสเซียผู้ใช้นามสกุลของตนเป็น ชื่อย่อของปืน ร้อยเอกมิคาอิล คาลาชนิคอฟ ก่อนจะแตกรุ่นออกไปมากมาย และเป็นที่นิยมใช้ในกองทัพทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
- ประวัติศาสตร์หน้าแรกของอาก้าเริ่มขึ้นในดินแดนของศัตรูเมื่อสงครามโลกครั้ง ที่ 2 จากการวิจัยของกองทัพบกเยอรมันที่พบว่าระยะยิงปืนเล็กยาวหวังผลได้ดีที่สุด คือ 300 เมตร ตรงนั้นคือระยะไกลที่สุดที่ทหารมองเห็นด้วยตาเปล่า  และสามารถทำลายเป้าหมายได้ด้วยอาวุธประจำกาย นำกระสุนเข้าสนามรบได้อย่างพอเพียง เพื่อให้ใช้ปืนได้ง่ายมันต้องมีระบบการทำงานไม่ซับซ้อน มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเพื่อง่ายต่อการบำรุงรักษาในสนาม
- ผลการวิจัยของเยอรมันทำให้ต้องรื้อแนวความคิดในการสร้างอาวุธประจำกายทหาร ราบใหม่ทั้งหมดรวมถึงกระสุน เพื่อให้ยิงหวังผลได้ในระยะ 300 เมตร
กระสุน เดิมขนาด 7.92x57 ม.ม. ของเมาเซอร์ที่ใหญ่ และหนักเกินความจำเป็น
จึงถูก ตัดท้ายให้สั้นลงเป็น 7.92x33 ม.ม. มีชื่อเล่นว่า “คูร์ซ” (Kurz)
ผลพลอย ได้คือราคาถูกลง และผลิตได้มากกว่า


MP44 ต้นแบบของAK47

- ผลการวิจัยของเยอรมันทำให้เกิดปืนเล็กยาวเพื่อรองรับแนวความคิด และกระสุน “ชทวร์มเกแวร์ 44” (Sturmgewehr 44 ชื่อเดียวกับ MP44)  โดยการนำข้อดีของปืนอีกสองสัญชาติมาดัดแปลงคือปืน เชอิ-ริก็อตตี (Cei-Rigotti) ของอิตารี และเฟโดรอฟ อัฟโตมัต (Fedorov Avtomat) ของรัสเซียคู่สงครามในขณะนั้น แล้วผลิตออกมามากในปี ค.ศ. 1944 เพื่อส่งเข้าแนวรบด้านตะวันออกที่ตนกำลังเพลี่ยงพล้ำให้ยันการรุกของกองทัพ แดง
- ถึงจะได้ชื่อว่าผลิตออกมามากเพราะสร้างได้เร็วจาการปั๊มโลหะขึ้นรูป แต่ StG44 ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของสงครามได้ เยอรมันแพ้สงครามในปีถัดมาก็จริง แต่รัสเซียได้รับผลกระทบจากปืนแบบนี้ไปเต็มๆเพราะถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดรวม ทั้งที่ยึดได้อีกมาก
- โลกคงไม่รู้จัก มิคาอิล คาลาชนิคอฟ หากเข้าเสียชีวิตในสมรภูมิเมืองไบรยันสก์ ปราการขวางกองทัพเยอรมันสู่กรุงมอสโกที่ทหารของกองทัพแดงถูกสังหารถึง 80,000 นาย และอีก 50,000 นาย ตกเป็นเชลย
- คาลาชนิคอฟได้รับบาดเจ็บที่นี่ระหว่างทำหน้าที่ผู้บังคับรถถังในกองพลยาน เกราะที่ 12 ด้วยยศสิบเอก และการเผชิญหน้ากับเยอรมันด้วยยานเกราะ และบางครั้งก็ปะทะกันแบบทหารราบ คาลาชนิคอฟจึงเข้าใจดีถึงความต้องการอาวุธประจำกายของทหาร
- เขาเบนเข็มจากทหารในหน่วยรบสู่นักออกแบบ และพัฒนาอาวุธหลังออกจากโรงพยาบาล ด้วยความคิด่าจะนำประสบการณ์ และความรู้ของตนมาช่วยกองทัพ ให้ทหารมีอาวุธดีๆ ใช้และกองทัพแดงไม่เป็นรองใคร
- อาวุธประจำกายพลิกประวัติศาสตร์ฝีมือ มิคาอิล คาลาชนิคอฟ จึงเกิดขึ้น จากแนวความคิดให้ตอบสนองความต้องการของทหารราบมากที่สุด ต้องผลิตได้เร็วมาก ยิงแม่นพอประมาณด้วยกระสุน  7.62x39 ม.ม. ที่เล็กกว่าแต่ให้แรงขับมากกว่ากระสุนต้นแบบของเยอรมันเล็กน้อย



- ทหารถอดทำความสะอาดได้รวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ใช้งานได้ในทุกภูมิประเภท และภูมิอากาศ
- เมื่อปืนเล็กยาว และปืนกลมือในขณะนั้นต่างก็มีข้อดีแตกต่างไป ปืนของ คาลาชนิคอฟ จึงเกิดการนำข้อดีของปืนเหล่านั้นมารวมกันด้วยเดือยเหล็กลำกล้องคู่จาก M1 “กาแรนด์” (Garand) ของสหรัฐ เรือนเครื่องลั่นไก และกลไกนิรภัยจากปืนเล็กยาวเรมิงตันโมเดล 8 และระบบการทำงานด้วยแก๊ซกับรูปแบบการวางเรียงชิ้นส่วนจาก StG44 ของเยอรมัน
- ระบบทั้งหมดถูกนำมายำโดยไม่ต้องคิดค้นอะไรใหม่ให้มากความ
- ถึง คาลาชนิคอฟ จะบอกว่าไม่ได้เอาแนวคิดของเยอรมันมาใช้ (เพราะตอนนั้นเป็นศัตรูกัน ใครจะไปยอมรับว่าเป็นปืนของข้าศึกดีกว่าจนต้องลอกเลียน) แต่หลักฐานที่ปรากฏนั้นเป็นไปคนละทิศละทาง
- AK-47 คล้ายคลึงกับ StG44 เหมือนปืนแบบเดียวกันแต่แตกรุ่น ด้วยพานท้ายไม้ลาดต่ำโครงปืนเหล็กปั๊มขึ้นรูป ซองกระสุนโค้งเพื่อจุกระสุนได้มาก ทำงานด้วยแรงดันแก๊ซผลักลูกเลื่อนถอยหลังคัดปลอก มีคันบังคับการยิงอยู่ด้านขวาของตัวปืนเหมือนกัน
- ทั้งที่ปืนเล็กยาวของค่ายตะวันตก และสหรัฐฯต่างวางตำแหน่งกึ่งอัตโนมัติ (semi) ให้เลือกยิงได้ก่อนอัตโนมัติ (auto) แต่คาลาชนิคอฟกลับเลือกระบบของการยิงปืนตนเองกลับข้างกัน  ให้เลือกยิงอัตโนมัติได้ก่อนผลักสวิชท์ไปยิงกึ่งอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อให้กลุ่มกระสุนกดหัวข้าศึกไว้ก่อนแล้วจึงเปลี่ยนระบบการ ยิง
- เป็นการเลือกระบบการยิงที่ฉลาด และเป็นไปตามสถานการณ์จริง
- เมื่อเกิดเหตุการณ์ขับขันทหารมักเลือกยิงอัตโนมัติให้กลุ่มกระสุนกดหัวฝ่าย ตรงข้ามไว้ก่อนจะเข้าที่กำบัง และเล็งประณีตต่อด้วยระบบกึ่งอัตโนมัติ
 - แนวคิดเริ่มต้นของ AK-47 เกิดขึ้นในปลายปี ค.ศ. 1941 จริง แต่กว่าจะพัฒนา และทดสอบจนพอใจได้ ก็ล่วงถึง ค.ศ. 1944 กว่าจะชนะการประกวดให้เป็นปืนในโครงการทดลองของกองทัพโซเวียตได้ต้องใช้เวลา อีกสองปี และถัดมาอีกปีคือ ค.ศ. 1947
- มันจึงได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธประจำกายทหารบางหน่วย ก่อนจะประจำการในฐานะอาวุธพื้นฐานของทหารราบทั้งหมดของโซเวียตในปี ค.ศ. 1949 ตามด้วยกลุ่มประเทศกติกาสัญญาวอร์ซอร์ และบริวาร
- มีให้เลือกทั้งแบบพานท้ายไม้ปกติสำหรับหน่วยรบภาคพื้นดิน และพานท้ายเหล็กพับเก็บได้เพื่อความคล่องตัวสำหรับทหารประจำยานรบ และหน่วยรบพิเศษ ก่อนจะแตกรุ่น และแบบออกไปปอีก
- ความโดดเด่นของ AK-47 นอกจากที่กล่าวข้างต้น คือมันราคาถูก ถอดรื้อทำความสะอาดชิ้นส่วนง่ายแม้ทหารสวมถุงมือ เพื่อตอบสนองความต้องการของทหารโซเวียตที่ประจำการในเขตอากาศหนาวของรัสเซีย และขั้วโลกเหนือส่วนใหญ่


ทหารหน่วยพิเศษของรัสเซียSpetnaz กับDragunov SVD

- การสร้างให้ลูกสูบใหญ่มีช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนเคลื่อนไหวหลวมๆ และปลายปลอกกระสุนเรียวแหลม (เป็นเหตุให้ต้องสร้างซองกระสุนโค้งรับสรีระของกระสุน) ทำให้ปืนทนทานต่อสิ่งแปลกปลอมที่พยายามแทรกตัวเข้าสู่กลไก
- มันจึงทำงานได้เป็นปกติแม้หลังจากการแช่น้ำ หมกโคลน หรือฝังทรายไว้ครั้งละหลายๆวันบางครั้งนานเป็นเดือน ขุดขึ้นมายิงกลไกยังทำงานได้เรียบร้อยเหมือนใหม่
- ทั้งที่ดูแลง่าย ซ่อมง่าย ทนทานไม่เกี่ยงลมฟ้าอากาศ แต่ AK-47 ก็มีจุดอ่อนคือความแม่นยำต่ำ เป็นผลจากการประกอบชิ้นส่วนไว้หลวมๆ แสดงถึงแนวความคิดของทหารราบโซเวียตขณะนั้น ที่มุ่งใช้ปืนเล็กยาวยิงกดเพื่อคลุมพื้นที่เป็นหลักก่อนการเคลื่อนที่ของ หน่วยรบ และเป็นไปตามหลักนิยมของกองทัพโซเวียตตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ว่า “ปริมาณคือคุณภาพ”
- ปรัชญานี้สะท้อนให้เห็นด้วยการเน้นปริมาณยุทโธปกรณ์แบบต่างๆ นอกจากปืน เช่น รถถัง เครื่องบินรบ เรือดำน้ำ และอื่นๆ
- ประมาณว่าปัจจุบันมี AK-47 อยู่กว่าร้อยล้านกระบอกทั่วโลกทั้งจากโรงงานในโซเวียต(ในอดีต) และ (รัสเซีย) ปัจจุบันเฉพาะที่มีซีเรียลนัมเบอร์จากโรงงานในรัสเซียประมาณ 10 ล้านกระบอก นอกเหนือจากนั้นคือ การผลิตภายใต้สิทธิบัตรในจีน, ยูโกสลาเวีย, สาธารณรัฐเช็ก และรัฐที่เคยอยู่ใต้อาณัติของโซเวียต
- ปัจจุบันนอกจากรัสเซีย, จีน และประเทศในกลุ่มกติกาสัญญาวอร์ซอว์ AK-47 ยังมีใช้งานในกองทัพทั่วโลก ที่พบเป็นหลักคือ เป็นอาวุธประจำกายของกองโจรต่างๆ  และผู้ก่อการร้ายโดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง เป็นที่นิยมเพราะลูกสูบของปืนแบบนี้ไม่กลัวทรายใช้งานในทะเลทรายได้โดยไม่ ต้องปรนนิบัติมาก
- ใครที่เคยสัมผัส AK-47 จริงๆมาแล้วจะพบว่าหลังจากเปิดโครงปืนด้านบนดูกลไกแล้วแทบไม่พบชิ้นส่วน เคลื่อนไหวใดๆเลย มันประกอบขึ้นด้วยเหล็กเพียงไม่กี่ชิ้น สปริงลูกสูบ และลำกล้อง แต่ใช้งานได้ลื่นไหลไม่ติดขัด
- เพราะความง่ายนี้เองกองกำลังส่วนใหญ่ที่ไม่เน้นการฝึกยุทธวิธีจริงจังแต่ เน้นปริมารหน่วยติดอาวุธ จึงนึกถึงมันก่อนปืนแบบอื่น



- ในตลาดอาวุธปัจจุบันนี้ถือว่า AK-47 เป็นที่ต้องการของนักรบ และนักสะสม ราคาค่างวดของมันมีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยจนถึงหลักแสนดอลลาร์ AK-47 เคลือบทองคือปืนประจำตัวของ ซัดดาม ฮูเซน ส่วนรุ่นลำกล้องตัดสั้นพับฐานคือปืนที่เห็นได้บ่อยๆในภาพข่าว วีดีโอ ของ โอซามา บิน ลาเดน ที่ปรากฏเป็นฉากหลังของผู้นำกลุ่มก่อการร้ายตัวกลั่นคนนี้บ่อย จนกลายเป็นเครื่องหมายการค้า
- ย้ำเตือนให้นึกถึงกลุ่มอัล-ไคดา, กองกำลังทาลีบัน และความรุนแรงอื่นๆในตะวันออกกลาง ถ้าเข้าช่องทางถูกถึงไม่ใช่ทหารก็อาจหาซื้อมันได้แถบตะเข็บชายแดน ในราคาเพียงกระบอกละ 2,000-5,000 บาทตามสภาพ
- AK-47 จึงเป็นอาวุธประจำกายทหารราบจริงๆ เท่าที่โลกเคยรู้จัก เล็งง่าย ยิงง่าย แทบไม่ต้องดูแลรักษา นอกจากถอดชิ้นส่วนมาหยอดน้ำมัน และเช็คเป็นครั้งคราว คว้าขึ้นมาดึงคันรั้งลูกเลื่อนแล้วยิงได้เลยแทบไม่ต้องคิด อายุใช้งานแต่ละกระบอกยาวนาน 20-40 ปี
- คุรสมบัติของปืนดังกล่าวนั้นถือว่าไม่เกินจริงเลย เมื่อวัดปริมาณอันมหาศาลของมันในกองทัพทั่วโลก เป็นปืนของทหารราบเพื่อทหารราบ ออกแบบโดยทหารแท้ๆ ตอกย้ำความหมายนี้หนักแน่นด้วยคำพูดของ มิคาอิล คาลาชนิคอฟ ครั้งหนึ่งว่า..



“ทหาร โซเวียตหลายคนเคยถามผมเรื่องการออกแบบ และสร้างปืนใหม่ขึ้นมา  เป็นคำถามที่ตอบยากเพราะปืนแต่ละแบบ ย่อมมีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน มีทั้งข้อดี และข้อเสียแตกต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกได้คือ ก่อนจะสร้างปืนใหม่ขึ้นมาสักแบบ การเข้าใจระบบการทำงานของปืนเก่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ประสบการณืหลาๆครั้งของผมได้แสดงให้เห็นแล้วว่าจริง”
- คำพูดของคาลาชนิคอฟ เป็นจริงหรือไม่ ประวัติอันโชกโชนของ “อาก้า” ได้พิสูจน์ตัวเองชัดแล้ว

ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์
ภาพจาก : internet




พรีเซนเตอร์ ชื่อดัง






เครดิต  โดย http://www.gungold.com/forums/index.php?topic=2754.0

DESERT EAGLE

ประวัติปืน DESERT EAGLE
Desert Eagle ( ต่อไปจะขอเรียกย่อๆ ว่า DE ) เป็นผลผลิตของ Israel Millitary Industries ( IMI ) ผู้ผลิตปืนกลมืออันเลื่องชื่ออย่าง UZI และเป็นผลงานการออกแบบร่วมของบริษัทอเมริกันอย่าง Magnum Research INC. ใน Mineapolis, USA

DE เข้าสู่สายการผลิตอย่างเป็นทางการในปี 1984 ในอิสราเอลโดย IMI รุ่นพื่นฐานของปืนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปืนที่ใช้กระสุนหนักระดับมหาโหดทั้งนั้น เช่น .357Magnum, .41Magnum, .44Magnum และ .50AE ( Action Express ) ตามลำดับโดย .50AE นั้นนับเป็นกระสุนปืนพกออโต้ที่มีพลังทำลายล้างสูงที่สุดในโลก ว่ากันว่ามันสามารถล้มกระทิงที่กำลังคลั่งอยู่ได้ในนัดเดียว...... ในปี 1998 ได้มีการเข็นรุ่นที่รองรับกระสุน .440 Cor Bon เช่นกัน

ปืนกระบอกนี้ใช้ระบบการทำงานแบบ Gas-Operated System ซึ่งเดิมทีระบบนี้ถูกออกแบบให้ใช้กับไรเฟิลทางการทหารเท่านั้น สาเหตุที่ต้องใช้ระบบนี้นั่นก็เพราะกระสุนที่ใช้กับปืนกระบอกนี้ล้วนแต่เป็นกระสุนระดับสุดยอด ซึ่งนอกจากจะมีหน้าตัดที่ใหญ่แล้ว ยังมีการเผาใหม้ของดินปืนและแกสในอัตตราที่สูงมาก แน่นอนว่าด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ระบบอื่นๆ ในปืนพกทั้งปวง ( ยกเว้นปืนลูกโม่ ) ไม่ว่าจะโบลว์แบ๊คหรือรีคอยล์ ก็คงจะรับไม่ไหว และจะเป็นอันตรายของผู้ใช้จึงต้องย่ออาวุธสงครามลงมาในปืนพกดังกล่าว ใน DE นั้นแทนที่จะเป็นเซียร์ควบคุมระบบออโต้อย่างปืนไรเฟิล ก็จะกลายเป้นห่วงคุมการบิดตัวของลำกล้องและคุมแก๊สแทนโดยห่วง 3 ห่วงนี้มีหน้าที่ในการคุมการทำงานของลูกถ่วงหมุนดักแก๊สจากการระเบิดของกระสุน เพื่อดักแก๊สในลำกล้องแล้วส่งไปยังรูระบายแก๊สเพื่อผลักดันลูกเลื่อน ในการขึ้นลำ ยิง และคัดปลอก ซึ่งอัตตราการทำงานนั้นจะระเบิดขึ้นในชั่วพริบตา และป้อนกระสุนกลับเข้าลำกล้องเพื่อพร้อมยิงนัดต่อๆ ไป ใน DE รุ่นแรกในปี 1984 มีห่วงคุมถึง 6 ห่วงด้วยกันแต่ต่อมาพบว่ามีผลเสียทางบริษัทจึงตัดสินใจตัดออกไปบางส่วน แต่ก็ออกแบบให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น หากบางคนคงมีข้อสงสัยว่าถ้าหากรูระบายแก๊สตันขึ้นมาละ ? จะยังยิงได้อยู่อีกเหรอ ? แน่นอนทาง IMI และ Magnum Research INC. ได้กล่าวไว้ว่าคราบตะกั่วที่ยิงจากตัวปืนแต่ละครั้งไม่ส่งผลเสียใดๆ และไม่ทำให้ท่อระบายแก๊สตันเพราะตะกั่วนั้นมีความอ่อนนิ่มจนเกินไป จึงไม่เป็นสาเหตุในการอุดตันของท่อแก๊ส แต่ถ้าเป็นดคลนหรือทรายละก้ไม่แน่...... หากตันจริงๆ ปืนก้ยังยิงได้ตามปรกติเพียงแต่ไม่ออโต้เท่านั้นเอง เราต้องบริหารกลไกด้วยมือเอง โดยการกระชากลำเลื่อนเพื่อคัดปลอกและป้อนกระสุนนัดต่อไปให้พร้อมยิง

DE นั้นเดิมทีติดตั้งศูนย์ตายแบบต่อสู้ แต่ต่อมาผู้ผลิต 2 รายอย่าง Millet's และ Trijicon ได้ผลิตศุนย์เล็งเพิ่มเติมทั้งแบบปรับได้และศูนย์แบบตริเตี้ยม Tree Dot ออกมาเพื่อรองรับการยิงทีหลากหลายมากขึ้น

นอกจากแบบธรรมดาลำกล้อง 6 นิ้วแล้ว DE ยังมีลำกล้องอะไหล่ให้เปลี่ยนได้หลายแบบ โดยมีความยาวลำไกล้องถึง 10 นิ้ว ต่อมาในปี 1999 ได้มีการทำลำกล้องอะไหล่ออกมาอีก โดยครั้งนี้มีความยาวถึง 14 นิ้ว แต่ไม่ว่าจะลำกล้องขนาดใหนก็ตาม อุปกรณ์ติดตั้งตายตัวมาตรฐานก็คือรางติดอุปกรณ์บนลำกล้องเพื่อการใช้ในกรณีแบบติดกล้องเพื่อความแม่นยำมากขึ้นหรืออื่นๆ ก็ตามแต่ใจปรารถนา
http://www.thaiairsoftgun.com/board/index.php?topic=14049.0
ปืนเวอร์ชั่น : DESERT EAGLE MARK XIX
บริษัท : I.M.I
ประเทศ : ISRAEL
เกมส์ : RESIDENT EVIL 2 , RESIDENT EVIL DEAD AIM
กระสุน : .357MAGNUM , .41MAGNUM , .44MAGNUM , .440 COR-BON , .50 A.E.
บรรจุกระสุน : 7/8/9 นัด
ระบบปฏิบัติการ : SINGLE ACTION/ROTATING BOLT/GAS-OPERATED
ระบบการยิง : SEMI AUTO
น้ำหนัก : 1.7 Kg - 2 Kg
ฟังก์ชัน : ศูนย์เลเซอร์ , ไฟฉาย , กล้อง ZOOM ระยใกล้ถึงไกล
ราคา : 250000 กว่าบาท
ระบบปฏิบัติการ SINGLE ACTION , รีคอล์ยระบบ GAS-OPERATED/ROTATING BOLT ระบบนิรภัย ห้ามไก,ฮาล์ฟ ค็อค บรรจุ 7 นัด ศูนย์ ระบบยิงเป้า ปรับได้ 4 ทิศทาง น้ำหนัก 2,000 กรัม สไล้ด์ - เหล็กรมดำ โครงปืน - เหล็กรมดำ เดสเสิร์ท อีเกิ้ล กระบอกแรกขึ้นในปี ค.ศ. 1984 ใช้กระสุนขนาด .357 แม็กนั่ม แบบเดียวกับที่ใช้ในปืน REVOLVER จากนั่นก็พัฒนาขึ้นมาใช้กับกระสุนขนาด .44 แม็กนั่ม และ .41 A.E. ตามลำดับ ในปี ค.ศ.1986 สุดท้ายก็พัฒนา DESERT EAGLE เพื่อใช้กับกระสุนขนาด .50 A.E. หรือ ACTION EXPRESS เป็นกระสุนที่หนักหน่วงที่สุดโดยใช้ระบบปฏิบัติการทุกอย่างคล้ายคลึงกับขนาด .357 แม็กนั่มและ .44 แม็กนั่ม เป็นปืนที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อล่าสัตว์ หรือยิงเป้าเพราะด้วยน้ำหนักตัวกว่า 2 กิโล ทำให้หนักเกินกว่าจะพกติดตัว สิ่งที่น่าสนใจคือ กระสุนขนาด .50 A.E. ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในปี 1998 เพื่อใช้กับปืนกระบอกนี้โดยเฉพาะนอกจากนี้ยังมีพัฒนาโดย อีวาน วิลดิน(Evan Whildin) แห่ง Acton Arms อีกด้วยซึ่งเป็นโครงการพัฒนากระสุนปืนออโต้ฯ ให้มีสมรรถนะสูงขึ้น ด้วยการออกแบบกระสุนขึ้นมาใหม่ .50 A.E. มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.500 นิ้ว น้ำหนักหัวกระสุน 325 เกรน ให้ความเร็วต้นปาก ลำกล้อง 1,400 ฟุต/ปอนด์ เป็นของสเปียร์แห่ง USA และนอกจากนี้ยังมีของ IMI-แซมซั่นของอิสราเอล น้ำหนัก 300 เกรน ที่ให้ความเร็วต้น 1,500 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,499 ฟุต/ปอนด์ เมื่อนำอำนาจของ .50 A.E. มาเทียบกับ .44 แม็กนั่ม ขนาด 240 เกรน ความเร็วต้น 1,300 ฟุต/ปอนด์ ก็จะพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล
ปัจจุบันปืนนี้เป็นปืนพกที่ทรงอานุภาพที่สุด เซียนปืนนานาประเทศต่างตั้งฉายาให้ปืนนี้ว่า HANDCANNON ว่ากันว่าสามารถล้มช้างตัวใหญ่ๆได้ภายในการยิงเพียงไม่กี่นัด ปืนนี้มีความทนทานสูงมาก เเล้วจากที่ผมทราบมาว่าปืนดีเสิร์ทนี้เอง สามารถยิงเเตงโมนัดเดียวเเตงโมระเบิดได้ เเล้วสามารถยิงตู้เซฟทีนึงเป็นรูครับ ยิงเหล็กทะลุได้เหมือนกัน ซึ่งอานุภาพของมันนั้นร้ายเเรงมากเเค่ไหน ยิงถังพลาสติกกระจุย ยิงพื้นทีกระจายเป็นควันคลื่นเลย เเถมยังมีพลังในการยิงทะลุทะลวงสูงอีก เเล้วยังเจาะเกราะทำลายเสื้อเกราะระดับ KEVLAR ได้ในระยะไม่เกิน 10 เมตรเลยล่ะ ถึงจะไม่ใช่กระสุนเจาะเกราะก็ตามที เป็นปืนพกอาวุธสงครามขนานเเท้ โดยเชพาะกระสุนขนาด .50 A.E. เป็นกระสุนสงครามที่ผิดกฏหมายเอามากๆ เพราะอานุภาพเเรงเกินไปนี้เอง เเรงปะทะก็สูงมาก ถ่ายโอนพลังงานโจมตีใส่เป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยมสุดๆ พลังงานในการโจมตีประมาณ 1646 ft.lbs
http://atcloud.com/stories/51981

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ปืนไรเฟิลที่แพงที่สุด

เปิดตัว “ปืนไรเฟิลแพงที่สุดในโลก” ราคากระบอกละ 25 ล้าน

ผู้ผลิตปืนแฮนด์เมดสุดหรูในประเทศสวีเดน เปิดตัวปืนไรเฟิลแพงที่สุดในโลก รุ่น “วีโอ ฟอลคัน อิดิชั่น” หวังยั่วน้ำลายเศรษฐีอาหรับ โดยจำหน่ายในราคากระบอกละ $820,000 หรือประมาณ 25 ล้านบาท

เป็นที่รู้กันในหมู่นักสะสม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อพระวงศ์ชาวอาหรับและเหล่าคนดัง) ว่า “วีโอ วาเปน” ผู้ผลิตปืนแฮนด์เมดสุดหรูเพื่อการสะสมและล่าสัตว์ในประเทศสวีเดน มีความเชี่ยวชาญในการประดิษฐ์ปืนแฮนด์เมดชนิดพิเศษที่ไม่เพียงสวยงาม โดดเด่น หายาก ผลิตขึ้นจำนวนจำกัด และมีสิทธิบัตรคุ้มครอง เท่านั้น แต่ทุกกระบอกล้วนเป็นผลงานการประดิษฐ์ของนายวิกโก้ ออลซอน”  ผู้ก่อตั้งบริษัท และนายอูลฟ์ ออลซอน บุตรชายของเขาทั้งสิ้น

“วีโอ ฟอลคัน อิดิชั่น” เป็นปืนไรเฟิลระบบเทคดาวน์รุ่นแรกของ “วีโอ วาเปน” ที่มีด้ามไม้ยาวแบบเต็มๆ  โดยจะถูกผลิตจำนวนจำกัดเพียง 5 กระบอกเท่านั้น สำหรับกระบอกแรก (ในภาพ) ผลิตแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบ ส่วนที่เหลืออีก 4 กระบอกจะผลิตตามคำสั่งซื้อ ทุกกระบอกจึงมีเอกลักษณ์โดดเด่นและลวดลายไม่ซ้ำกัน
ในแต่ละปี ปืนไรเฟิลของ “วีโอ วาเปน” จะถูกผลิตขึ้นจำนวนจำกัดมากๆ โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะอยู่ในตะวันออกกลาง และหนึ่งในลูกค้าขาประจำของบริษัทก็คือ “ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเอด อัล นาห์ยัน” มกุฏราชกุมารแห่งรัฐอาบูดาบี
ที่มาhttp://www.vovapen.com/news.php

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตำนานปืนสั้น

ปืนสั้น หรือ ปืนพก ปืนที่สามารถถือยิงได้ด้วยมือเดียว แต่โดยมากเรียกรวมกันว่าปืนสั้น มี สอง แบ่งตามลักษณะของการเก็บกระสุน ได้แก่ ลูกโม่ และ แบบที่มีการเก็บกระสุนต่อรวมเข้ากับลำกล้อง ซึ่งยังจำแนกต่อไปได้อีก
นอกจากนี้แล้ว ปืนสั้น ยังหมายรวมถึง ปืนสั้นยิงทีละนัด, ปืนลูกโม่, ปืนสั้งกึ่งอัตโนมัติ และปืนสั้นอัตโนมัติ.
เรามาดูปืนที่ได้รับความนิยมกันครับ
ประวัติคร่าวๆของผู้ผลิตอาวุธปืน Colt
เอ่ยคำว่า “Colt” เชื่อได้ว่านักนิยมปืนทั่วโลกต้องรู้จักในฐานะผู้ผลิตปืนสั้นอันมีชื่อเสียงต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคที่ใช้ปืนใช้กระสุนดินดำจนถึงปัจจุบัน จากปืนลูกโม่ Single Action (Colt Walker) มาถึง Single Action Army ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ 1911 (M-1911 หรือ Government Model) ตลอดจนลูกโม่ดับเบิล (Python) แม้แต่ปืนสั้นลูกกรด (Colt Woodsman) ล้วนเป็นปืนมีระดับที่นักสะสมใฝ่หากันมาก ซึ่งบริษัท Colt ก็ให้การสนับสนุนด้านข้อมูลเป็นอย่างดี ผู้ที่สนใจสามารถสืบค้นประวัติความเป็นมาต่างๆได้
ในปีที่ Colt ฉลองครบรอบ 150 ปี เป็นปีที่ปืน 1911 ปลดระวางจากกองทัพสหรัฐอเมริกา จากศตวรรษ 1800, 1900 Colt เข้าสู่ศตวรรษที่สามคือ 2000 แบบไม่ค่อยมั่นคงนัก ถ้าเป็นคนก็เหมือนเข้าสู่วัยชราแบบไม้ใกล้ฝั่ง แต่ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่สิทธิบัตรคุ้มครองปืน 1911 หมดอายุไป 1911 กลายเป็นตัวเก่งให้หลายๆบริษัทสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นใหม่ได้

คำว่า 1911 คืออะไร
1911 เป็นปีที่ Colt ผลิตปืนกึ่งอัตโนมัติ ผลิตให้กับทหารสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่ 1 ตั้งแต่ปี 1914 ถึง 1918 และ Colt ได้จดสิทธิบัตรปืนกึ่งอัตโนมัติไว้ว่าห้ามลอกเลียนแบบ คำว่า 1911 คือชื่อของแบบแผนปืนกึ่งอัตโนมัติที่ Colt ได้จดสิทธิบัตรไว้ หลังจากสิทธิบัตรคุ้มครองแบบแผนปืน 1911 สิ้นสุดลง ในช่วงปี ค.ศ. 1985 หลายบริษัท เลยหันมาผลิตปืนแบบ 1911 กันจำนวนมาก 
ที่มาของคำว่า Government
ในช่วงสงครามโลก รัฐบาลสหรัฐได้ให้บริษัทผลิตปืนได้ผลิตปืนในแบบ 1911 ขึ้นมา และมีเงื่อนไขว่า ปืนทุกกระบอกต้องเหมือนกัน และสลับชิ้นส่วนกันได้ เลยเป็นที่มาของคำว่า Government หมายถึง ปืนของรัฐบาล และ ตั้งแต่สงครามสงบลง Colt จึงนำปืนมาออกจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไป หลังจากที่ทหารเท่านั้นที่นำปืนมาใช้ในการแข่งขันยิงเป้า ก็มากลายเป็นยุคของประชาชนที่นำปืนมาแข่งขันยิงเป้า ซึ่ง Colt ได้ตั้งชื่อปืนในตระกูล 1911 ว่า Colt Government หรือ Government Model

ประวัติปืนลูกโม่
ปี ค.ศ. 1836 แซมมวล โค้ลท์ (Sammual Colt) นักประดิษฐ์ชาวอเมริกันคิดประดิษฐ์ปืนรีวอลเวอร์ซิงเกิ้ลแอ็คชั่นขึ้นมาได้สำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และของโลกในเวลาต่อมา
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1836 แซมมวล โค้ลท์ ตั้งบริษัทขึ้นภายใต้ชื่อ เปเตนท์ อาร์ม แมนูแฟคเจอริ่ง คอมปานี (Patent Arms Manufacturing Company) ตั้งอยู่ที่เมืองแพ็ทเตอร์สัน ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนิวเจอร์ซี่ สำนักงานขาย และสถานที่แสดงอาวุธปืนตั้งอยู่ เลขที่ 155 ถนนบรอดเวย์ใช้เงินทุนทั้งหมดจำนวนถึง 300,000 เหรียญสหรัฐ
โค้ลท์ประสบความสำเร็จในการขายโค้ลท์ โมเดล 1873 ซิงเกิ้ล แอ็คชั่น อาร์มี่ ให้แก่กองทัพสหรัฐฯที่รับเข้าประจำการในปีค.ศ. 1873 ตลอดไปจนถึงการจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ มีการผลิตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีค.ศ. 1871 นับจนถึงปีค.ศ. 1980 ยาวนานถึง 69 ปี มีจำนวนการผลิตออกมาทั้งสิ้น 357,895 กระบอก
แซมมวล โค้ลท์ เสียชีวิตลงเมื่อ วันที่ 10 มกราคม ค.ศ.. 1862 ด้วยวัยเพียง 47 ปี ซึ่งในช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่นั้น โค้ลท์มีการผลิตปืนรีวอลเว่อร์ และปืนไรเฟิ่ลแบบต่างๆ ออกมามากกว่า 400,000 กระบอก ส่งผลให้โค้ลท์กลายเป็นบริษัทผลิตอาวุธปืนยักษ์ใหญ่อันดันหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา โค้ลท์ได้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทหลายครั้ง โดยมีลำดับดังนี้
- ค.ศ. 1836 - 1842 โค้ลท์ล’ส เปเต้นท์ ไฟร์ อาร์มส แมนูแฟคเจ้อร์ คอมปานี(Colt’s Patent Fire Arms Mfg.Co.)
- ค.ศ. 1847 - 1947 โค้ลท์’ส แมนูแฟคเจอริ่ง คอมปานี(Colt Manufacturing Co.)
- ค.ศ. 1947 - 1955 โค้ลท์’สแมนูแฟคเจอริ่ง คอมปานี (Colt Manufacturing Co.)
- ค.ศ. 1955 - 1964 โค้ลท์’ส เปเต้นท์ ไฟร์อาร์มส แมนูแฟคเจ้อร์ คอมปานี(Colt’s Patent Fire Arms Mfg.Com)
- ค.ศ. 1964 - 1989 โค้ลท์’ส ไฟร์อาร์มส ดิวิชั่น, โค้ลท์ อินดัสตรี้ส์(Colt Firearms Division, Colt Industries)
- ค.ศ 1989 โค้ลท์’ส แมนูแฟคเจอริ่ง คอมปานี อิงซ์(Colt Manufacturing Coท.,Inc)
ช่วงปีค.ศ. 1890 หลังจากที่แซมมวล โค้ลท์ เสียชีวิตได้ 26 ปี ได้เริ่มมีความพยายามในการพัฒนาปืนระบบอัตโนมัติขึ้นในยุโรปซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ในสหรัฐอเมริกากำลังให้ความนิยมปืนรีวอลเวอร์กันอย่างกว้างขวาง ปืนที่ประสบความสำเร็จ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายก็คือ โค้ลท์ โมเดล 1873 ซิงเกิ้ล แอ็คชั่น อาร์มี่ ที่โค้ลท์เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นมา
แต่บริษัทโค้ลท์มองการณ์ไกล และตระหนักดีว่าถ้าหากปืนระบบออโต้ฯได้รับการพัฒนาจนกระทั่งมีความเชื่อถือได้ในระบบปฏิบัติการ ก็จะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญที่น่ากลัวของปืนรีวอลเว่อร์
จุดนี้เองที่ทำให้บริษัทโค้ลท์เริ่มแสวงหาแบบแปลนของปืนออโต้ฯเท่าที่จะสามารถหาได้มาทำการทดสอบเพื่อหาแบบที่ดีที่สุดมาทำการผลิต เป็นการตอบสนองตามข้อตกลงที่มีอยู่กับกองทัพสหรัฐฯที่ต้องการปืนออโต้ฯที่ใช้กระสุนขนาดใหญ่ที่มีอานุภาพใกล้เคียงกับ .45 ของโค้ลท์
หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือปืนที่ จอห์น โมเสส เบราว์นิ่ง ออกแบบ และถือเป็นจุดกำเนิดของ โค้ลท์ โมเดล 1911 ปืนกึ่งอัติโนมัติที่เป็นอมตะไม่มีวันตาย
ประวัติคร่าวๆของผู้ผลิตอาวุธปืน Colt
เอ่ยคำว่า “Colt” เชื่อได้ว่านักนิยมปืนทั่วโลกต้องรู้จักในฐานะผู้ผลิตปืนสั้นอันมีชื่อเสียงต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคที่ใช้ปืนใช้กระสุนดินดำจนถึงปัจจุบัน จากปืนลูกโม่ Single Action (Colt Walker) มาถึง Single Action Army ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ 1911 (M-1911 หรือ Government Model) ตลอดจนลูกโม่ดับเบิล (Python) แม้แต่ปืนสั้นลูกกรด (Colt Woodsman) ล้วนเป็นปืนมีระดับที่นักสะสมใฝ่หากันมาก ซึ่งบริษัท Colt ก็ให้การสนับสนุนด้านข้อมูลเป็นอย่างดี ผู้ที่สนใจสามารถสืบค้นประวัติความเป็นมาต่างๆได้
ในปีที่ Colt ฉลองครบรอบ 150 ปี เป็นปีที่ปืน 1911 ปลดระวางจากกองทัพสหรัฐอเมริกา จากศตวรรษ 1800, 1900 Colt เข้าสู่ศตวรรษที่สามคือ 2000 แบบไม่ค่อยมั่นคงนัก ถ้าเป็นคนก็เหมือนเข้าสู่วัยชราแบบไม้ใกล้ฝั่ง แต่ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่สิทธิบัตรคุ้มครองปืน 1911 หมดอายุไป 1911 กลายเป็นตัวเก่งให้หลายๆบริษัทสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นใหม่ได้

Colt M-1911 World War I Replica (.45 ACP)
Colt 1911 World War I Replica เป็นปืนที่ Colt ทำส่งให้กับกองทัพสหรัฐอเมริกาเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1914 ถึง 1918

Colt M-1911 A1 (.45 ACP)
Colt 1911 A1 เป็นปืนที่กองทัพสหรัฐเคยใช้เป็นปืนประจำการและเคยถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2

คำว่า 1911 คืออะไร
1911 เป็นปีที่ Colt ผลิตปืนกึ่งอัตโนมัติ ผลิตให้กับทหารสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่ 1 ตั้งแต่ปี 1914 ถึง 1918 และ Colt ได้จดสิทธิบัตรปืนกึ่งอัตโนมัติไว้ว่าห้ามลอกเลียนแบบ คำว่า 1911 คือชื่อของแบบแผนปืนกึ่งอัตโนมัติที่ Colt ได้จดสิทธิบัตรไว้ หลังจากสิทธิบัตรคุ้มครองแบบแผนปืน 1911 สิ้นสุดลง ในช่วงปี ค.ศ. 1985 หลายบริษัท เลยหันมาผลิตปืนแบบ 1911 กันจำนวนมาก

Colt M-1911 A1 (.45 ACP)
เมื่อเอ่ยถึง Colt 1911 ผู้ที่รู้จักหรือคุ้นเคยกับอาวุธปืนอยู่บ้าง ย่อมจะนึกถึงปืนสั้นออโต้แบบกัฟเวอร์นเมนท์โมเดล ขนาด .45 ACP ของโรงงาน Colt กันแทบทุกคน โดยเฉพาะท่านที่เป็นทหารรุ่นเก่าของไทยย่อมจะต้องรู้จักคุ้นเคยเป็นพิเศษ เนื่องจากปืน Colt ออโต้โมเดลนี้มีชื่อเสียงกิติศัพท์อันเกรียงไกรมาจากพื้นฐานซึ่งเป็นปืนทหารมาก่อน นับตั้งแต่กองทัพบกของสหรัฐอเมริกาเข้ารับประจำการในปี ค.ศ. 1911 จึงเป็นที่มาของคำว่า “โมเดล 1911” หลังจากผ่านการทดสอบของกองทัพมาเป็นเวลาเกือบห้าปี ต่อมา ปืนโคลท์ กัฟเวอร์นเมนท์ โมเดล 1911 ได้รับการปรับปรุงอีกเล็กน้อยในทศวรรษแห่งปี 1920 จึงได้เปลี่ยนเป็น “โมเดล 1911 A1” นับตั้งแต่นั้นมา

ด้วยเหตุที่ปืนโมเดล 1911 ที่กองทัพสหรัฐฯ แจกจ่ายให้ทหารของตน หรือส่งไปช่วยเหลือกองทัพประเทศพันธมิตร มีอักษรข้อความว่า UNITED STATES PROPERTY อยู่ทางด้านซ้ายของโครงปืน และโดยเฉพาะมีอักษรบอกข้อความอยู่ทางด้านขวาของโครงปืนว่า MODEL OF 1911 U.S. ARMY หรือ NAVY แต่ส่วนมากจะเป็น U.S. ARMY จึงทำให้นักเลงปืนชาวบ้านทั่วไปพากันเรียกปืนโมเดลนี้ว่า “ปืนยูเอส อาร์มี” หรือ “ยูเอส” เฉยๆ หรือไม่ก็เรียกว่า ปืนขนาดสิบเอ็ด ตามขนาดของปืนหรือกระสุนที่ใช้ยิงไปเสียเลย สาเหตุที่ผู้ใช้ปืนบ้านเรานิยมเรียกกระสุน .45 ACP ว่า สิบเอ็ดมอมอ เพราะยังยึดติดไปตามระบบเมตริกของกระสุนปืนจากยุโรปอยู่ จึงไม่ค่อยได้เรียกกันว่าขนาดจุดสี่ห้าสักเท่าใดนัก

หากกล่าวถึงปืนออโตแบบ 1911 โดยทั่วไปแล้ว คนส่วนมากก็จะนึกถึงปืนขนาด .45 เอซีพี ทั้งๆที่โคลท์ก็ผลิตปืนโมเดลนี้ออกมาในขนาด .38 Super และ 9mm Luger ด้วย แต่เป็นเพราะคนรู้จักคุ้นเคยกับปืนขนาด .45 ACP มาก่อนนั่นเอง อย่างไรก็ตาม นักเล่นปืนในบ้านเราก็ให้ความนิยมปืน Colt 1911 ขนาด .38 Super รองลงมาจากขนาด .45 เอซีพี หรือ 11 มม. สาเหตุหลักมาจากการขอใบอนุญาต ป.3 สำหรับปืนขนาด .38 ได้ง่ายกว่า แต่ปัจจุบันนักยิงปืนระบบไอพีเอสซีนิยมใช้ปืนออโต้ 1911 ขนาด .38 Super ยิงแข่งขัน ปืนขนาด .38 Super จึงได้รับความนิยมขึ้นมาใกล้เคียงกับปืนขนาด .45 ACP นอกจากนี้กระแสความนิยมในปืนสั้นออโตวันเดอร์ไนน์มีส่วนช่วยเสริมให้เกิดความนิยมปืนออโต้ 1911 ในขนาด 9 มม. ไปด้วย แต่ปืนออโต้ 1911 ขนาด 9 มม. นี้มีวางจำหน่ายอยู่ไม่มาก เพราะร้านขายปืนของไทยไม่ค่อยสั่งเข้ามา ทั้งๆแต่เดิมบริษัทโคลท์ก็ผลิตปืนออโต้ 1911 ในขนาด 9 มม. ลูเกอร์มานานแล้ว เมื่อประมาณ 20-30 ปีก่อนหน้านี้ ผู้เขียน Colt Combat Commander ขนาด .38 Super และ 9 มม. มีวางจำหน่ายอยู่ประปรายบ้าง ในปัจจุบันปืนออโต้ 1911 ขนาด 9 มม. เริ่มสั่งเข้ามาขายมากขึ้นทั้งที่เป็นแบบลูกดกและลูกไม่ดก แต่เป็นปืนยี่ห้ออื่นมากกว่า ยี่ห้อโคลท์เจ้าเก่าหรือเจ้าตำรับยังสั่งเข้ามาน้อย จนแทบจะเรียกว่าหายากส่วนมากจะเห็นเป็นปืนมือสองครับ

คราวนี้หันมาดูปืนออโต้ 1911 ของโคลท์กันบ้าง หลังจากมีการปรับปรุงเป็นรุ่น 1911A1 ก็มีการเปลี่ยนแปลงบูชลำกล้องจากรูปทรงกระบอกทึบไปเป็นแบบกลีบจำปาในปี 1970 เรียกว่า Series 70 และได้เพิ่มตัวกั้นเข็มแทงชนวน หรือสมอล็อกเข็มแทงชนวนเข้ามาอีกเมื่อปี 1980 เรียกว่า Series 80 แต่ปัจจุบัน แม้ว่าปืน Colt 1911A1 จะเปลี่ยนแปลงโฉมภายนอกให้เหมือนปืนซิ่งมากขึ้นตามกระแสความนิยมซึ่งก็ยังเรียกว่าเป็น Series 80

Colt M-1991A1 (.45 ACP)
ในปี 1991 โคลท์ได้ผลิตปืน Model 1991A1 ขึ้นมา ซึ่งฟังดูแล้วน่าจะเป็นการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของปืนโคลท์ 1911 แต่กลับเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีหรือรูปแบบการผลิตเสียมากกว่า คือการแต่งผิวโลหะค่อนข้างด้านแบบปืนทหาร และรมออกสีเขียวๆอยู่บ้าง ส่วนหนึ่งที่เน้นคือราคาประหยัดมากขึ้นเพราะในช่วงเวลานั้นราคาของปืนโคลท์ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ว่ากันว่าเหล็กที่ใช้ทำปืนออโต้ 1991A1 ของโคลท์เป็นเหล็กที่มีคุณภาพแข็งแกร่งทนทานอย่างเดียวกับที่ใช้ทำปืนทหารมาก่อน ดังนั้น จึงพอหนุมานได้ว่า Colt 1991A1 เป็นปืนที่เน้นไปทางด้านการใช้งานสมบุกสมบันมากกว่าความสวยงามสะดุดตา นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปืน Series 80 ของ Colt เอง ด้วยเหตุนี้จึงมีนักนิยมปืนที่มองเห็นข้อดีของ Colt 1991A1 แล้วซื้อมาแต่งซิ่งตามที่ใจชอบอีกประการหนึ่งทางโรงงาน Colt โฆษณาว่า Colt 1991A1 เป็นปืนที่ถ่ายทอดลักษณะดั้งเดิมของ Colt 1991A1 มาเกือบทุกกระเบียดแต่มีทั้งแบบ Government Model กับแบบ Commander และมีทั้งทำด้วยเหล็กรมดำและเหล็กสเตนเลสส์ ช่วยให้ผู้ใช้ปืนที่นิยมปืนรุ่นเดิมๆ มีโอกาสเลือกได้บ้าง
ขอบคุณ
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=110dec62710031d6&pli=1
Colt Gold Cup
โมเดลแรกที่โรงงาน Colt ทำออกมาเพื่อยิงเป้าคือ Colt National Match แตกต่างจากปืนสายยิงคนคือ เลิกเอาลำกล้องที่คัดพิเศษ โดยมีหลักการว่า จำนวนหนึ่งพันลำกล้องของล็อตนี้ สองร้อยลำแรกเครื่องจักรยังไม่เสถียร เพิ่งเริ่มเดินเครื่องก็เอาไว้เป็นลำกล้องยิงคน สามร้อยถึงเจ็ดร้อยอันต่อมาถือว่าเครื่องจักรเดินนิ่งดีแล้วก็คัดเอาไว้ก่อน สามร้อยอันสุดท้ายของล็อตก็จัดไปเข้ากลุ่มลำใช้งานทั่วไปที่คัดมาดีๆนั้นมาเลือกเอาเรียบร้อยที่สุดไว้สักสองร้อยอันเพื่อมาประกอบกับลำเลื่อนที่ทำขึ้นต่างหากโดยเจาะรูเจาะช่องให้ประณีตกว่า มีสันลำกล้องให้เป็นแนวเล็งนำสายตา และเซาะร่องละเอียดกันแสงสะท้อน ใส่ศูนย์หลังแบบปรับได้สี่ทาง ใบศูนย์ใหญ่เล็งง่าย รุ่นแรกๆมีศูนย์สองยี่ห้อ คือ แอคโคร และ เอดิสัน ศูนย์หน้าเป็นแบบยกสูงตัดฉากหลังต่างจากศูนย์รูปวงเล็บจุ๋มจิ๋มของปืนสายยิงคน

บูชลำกล้องและหลอดครอบสปริงทำมาเป็นพิเศษ โดยหลอดครอบสปริงตรงปลายจะเป็นลาดเอียงหรือเทเปอร์ เพื่อให้รับกับบู้ชลำกล้องที่ทำลาดเอียงไว้รับกัน เพื่อให้ล็อคลำกล้องนิ่งกว่าปกติ ซึ่งทำเป็นบ่าไว้เฉยๆ ไกก็ทำหน้ากว้างกว่าปกติ มีหมุดหยุดไกปรับได้ละเอียดมากด้วย นอกนั้นนกและหลังอ่อนก็ยังเหมือนปืน Government แต่จะทำผิวรมดำมาชนิดดีพบลูสวยงามกว่า เพราะแน่นอนละว่า ปืน National Match ขายราคาแพงกว่าโขอยู่ และเมื่อลงสู่สนามแข่งขัน มันก็ประสบความสำเร็จงดงาม จน Colt ผลิตรุ่นต่อๆมา โดยเพิ่มคำว่า ถ้วยทอง หรือ Gold Cup สาไว้หน้าชื่อ National Match
ขอบคุณhttp://cgsc.rta.mi.th/cgsc/index.php?option=com_content&view=article&id=529:87169-colt&catid=7:88&Itemid=25
เเละ
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=110dec62710031d6